Wild Landscape
หน้าแรก เรื่องราวของตำบลตลาด แผนที่การท่องเที่ยวตำบลตลาด งานประเพณีและศิลปวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์ชุมชน ทรัพยากรชีวภาพ: วัตถุดิบท้องถิ่น ตราผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ความประทับใจในตำบลตลาด ข้อมูลสร้างการเรียนรู้ของชุมชน ติดต่อเรา

ทรัพยากรชีวภาพ: วัตถุดิบท้องถิ่น

First slide

พริก

ทรัพยากรชีวภาพ วัตถุดิบท้องถิ่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

พริก

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Capsicum spp. 

ชื่อสามัญ : Chili,Pepper,Sweet pepper,Hot pepper,Bird pepper,Capsicum,Paprika 

ชื่อวงศ์ : SOLANACAEAC

ถิ่นกำเนิด

 อยู่ในทวีปอเมริกากลาง กับอเมริกาใต้ เนื่องจากว่ามีหลักฐานการค้นพบว่า ชาวอินเดียนใน Mexico มากว่า 9000 ปีแล้ว เนื่องจากพบว่าในอุจจาระนั้นมีเศษซากของพริกที่มีอายุกว่า 9000 ปี ด้วยรสชาติและสรรพคุณที่ที่เผ็ดร้อนของพริก ชาวอินเดียนนิยมใช้พริกทรมานเชลย เช่น เผาพริกปริมาณมากให้ควันพริกขับไล่ทหารสเปน ส่วนชาว Maya ก็มีประเพณีว่า ผู้หญิง Maya คนใดเวลาถูกจับได้ว่าแอบดูผู้ชาย จะถูกพริกขยี้ที่ตา และบิดามารดาของผู้หญิง Maya คนใดถ้ารู้ว่า บุตรสาวของตนเสียพรหมจรรย์อย่างผิดประเพณี “บริเวณลับ” ของเธอจะถูกละเลงด้วยพริก

สำหรับในประเทศไทยนั้นมีสายพันธุ์ของพริกอยู่ทั้งหมดประมาณ 831 สายพันธุ์ และสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ และพริกขี้หนูเม็ดเล็ก ในพริกยังมีการค้นพบสารแคปไซซิน (Capsicin) ที่มีส่วนสำคัญทำให้พริกเผ็ดร้อน ซึ่งกระจายอยู่แทบทุกส่วนของพริก โดยส่วนที่มีสารชนิดนี้ที่สุดจะเป็นที่ ไส้ของพริก โดยสาร Capsicin นี้จะ มีคุณสมบัติพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ การทนความร้อนได้ดี ไม่ว่าจะผ่านการ ผัด ทอด ย่าง หรือแม้กระทั่งเอาไปตากแดด ความเผ็ดร้อนนั้นก็ยังอยู่เหมือนเดิม

สายพันธุ์พริกในไทย

พริกจินดา ลักษณะเม็ดเป็นสีแดงสด และ สีเขียวสด มีขนาดใหญ่กว่าพริกชี้ฟ้านิดหน่อย และให้ผลดกกว่า จะมีระดับความเผ็ดที่มากกว่าพริกชี้ฟ้า และมีขนาดเม็ดที่ใหญ่กว่า

พริกชี้ฟ้า นำมาใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร ประเภทแกง ผัดพริก หลนปูหลนกุ้ง หรือ ทำ เป็น พริกน้ำส้ม พริกดอง และมีความเผ็ดที่ไม่แพ้กับพริกชนิดอื่นๆ เลย ด้วยความเด่นของพริกชี้ฟ้านั้น คือ ผลของพริกจะตั้งละชี้ไปบนฟ้า ทั้งผลดิบและผลสุก พริกจริงไม่ได้มีแต่ความเผ็ดเพียงอย่างเดียว แต่มีความสวยที่โดดเด่นที่รูปลักษณ์อีกด้วย

พริกขี้หนูสวน เป็นพริกขนาดเล็กที่มีความเผ็ด เมื่อดิบจะมีผลสีเขียวเข็ม เมื่อสุกจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดง มีรสเผ็ดจัด เรามักจะพบเห็นการนำพริกชนิดนี้มาปรุงเป็นเครื่องเครื่องเทศในอาหารไทยหลายชนิด

พริกหยวก เป็นพริกที่ไม่เผ็ดมาก มีผลสีเขียว มีความแตกต่างกันพริกหนุ่มตรงที่มีขนาดผลที่อวบและใหญ่กว่า พริกหนุ่ม แต่ไม่ดิบหรือสุกก็จะมีผลสีเขียวเหมือนกัน

พริกหวาน มีรสชาติเผ็ดน้อย เผ็ดแบบเบาๆ พอรู้สึกได้ สามารถนำมารับประทานสดในสลัดหรือนำมาผัดกับผักชนิดอื่น ๆ

พริกยอดสน เป็นสายพันธุ์พริกที่มีความโดดเด่นในด้านการปลูกง่าย ทนแล้ง เนื้อพริกบาง เมล็ดพริกมาก เมื่อแห้งแล้วพริกมีสีแดงวาว เมื่อนําไปทําพริกป่นจะมีกลิ่นหอม รสชาติเผ็ดปานกลาง นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปทําเป็นพริกแห้งได้อีกด้วย แหล่งปลูกที่สําคัญอยู่ในเขตจังหวัดภาคอีสาน

พริกพันธุ์ห้วยสีทน เป็นพริกที่ได้จากการปรับปรุงพันธุ์และคัดพันธุ์จากพริกจินดา ซึ่งมีลักษณะดังนี้ คือ ผลชี้ขึ้น ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดงจัด ความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร เมื่อทําเป็นพริกแห้งจะให้พริกแห้งที่มีสีแดงเข้ม เป็นมัน เหยียดตรง ผิวผลเรียบ ก้านผลค่อนข้างยาว และรสเผ็ดจัด ทรงต้นมีการแตกกิ่งดี ประมาณ 3-5 กิ่ง ความสูงประมาณ 1.5 เซนติเมตร พร้อมกันนี้ยังมีการคัดพันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์จนได้พันธุ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น พันธุ์พริกห้วยสีทน ศก.๑ ให้ผลสุกสีแดงเข้ม พริกแห้งผิวเรียบมัน เก็บเกี่ยวผลสุก อายุ 120 วัน หลังปลูก ผลผลิต 1.0-1.5 ตัน/ไร่ ผลสด 1 กิโลกรัม ตากเป็นพริกแห้งได้ 0.43 กิโลกรัม

พริกกะเหรี่ยง เป็นสายพันธุ์พริกที่นิยมปลูกกันตามชายแดนของจังหวัดกาญจนบุรี มีลักษณะเด่นคือ มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนทานต่อสภาวะอากาศและโรคแมลง ลําต้นใหญ่ การแตกแขนงดี สามารถให้ผลผลิตติดต่อกัน เป็นระยะเวลานาน นิยมทําเป็นพริกตากแห้งได้ดี คุณภาพผลสด 3 กิโลกรัม ตากแห้งได้ 1-1.3 กิโลกรัม อีกทั้งมีความเผ็ดและหอม ซึ่งเป็นลักษณะประจําพันธ์ุของพริกกะเหรี่ยง จึงทําให้โรงงานทําซอสพริกนิยมนําไปปั่นผสมกับพริกหนุ่มเขียว เพื่อเพิ่มความเผ็ดและความหอม

ประโยชน์ของพริก

  • ประโยชน์ของพริก ในสารแคปไซซิน ( capsaicin) ที่เป็นส่วนที่ทำให้พริกนั้นเผ็ดร้อน ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น แก้หวัด ขับลม ช่วยสูบฉีดโลหิต ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ บำรุงธาตุ นำมาดองสุราหรือบดผสมวาสลิน ใช้ทาถูนวด ทาแก้เคล็ดขัดยอก แก้ปวดตามข้อฟกช้ำดำเขียว ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และยังมีวิตามินเอสูงซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ต้น ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • บรรเทาอาการเจ็บปวด มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพ นำไปทำเป็น ขี้ผึ้ง หรือเจล ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ปวดเมื่อยตามตัว งูสวัด สารแคปไซซินในพริก จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ตามธรรมชาติ
  • ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจ อันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่าง
  • ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น สังเกตได้เวลาที่เราทานพริก จะมีน้ำมูกน้ำตาไหลออกมา นั่นเป็นเพราะรสเผ็ด และสารก่อความร้อนในพริก ซึ่งช่วยลดปริมาณน้ำมูก และสิ่งกีดขวางในทางเดินระบบเราจะรู้สึกจมูกโล่ง บรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
  • ในพริกนั้นมีวิตามินซีด้วยนะ ช่วยสร้างคอลลาเจน และยังมีเบต้าแคโรทีนในพริก สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถลดการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้ พริกมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด โดยพริกสามารถช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสได้ ซึ่งช่วยทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง
  • ในสารแคปไซซินสามารถยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ได้ดี ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงขึ้น
  • ป้องกันโรคโลหิตจาง เนื่องจากพบว่าในพริกนั้นมีธาตุเหล็กอยู่พอสมควร รวมถึงยังมีทองแดงที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่ช่วยเสริมให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรง
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ พริกยังช่วยละลายลิ่มเลือด ไม่ให้เลือดจับกันเป็นก้อน ต้านการแข็งตัวของเลือด ไม่ให้จับกันเป็นก้อน จนอุดตันหลอดเลือด ซึ่งเป็นหลายๆ สาเหตุที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจตามมาได้
  • ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ค้นพบว่าในพริกขี้หนูนั้นช่วยลดอินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่  2 (โดยอาการของโรคเบาหวานชนิดที่  2 จะเกิดแบบค่อยเป็น ค่อยไป หรือไม่มีอาการ)
  • ช่วยบำรุงสมอ มีค้นพบโดยเฉพาะในพริกขี้หนูมีธาตุเหล็กที่ช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดในสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยปรับปรุงการรับรู้ของระบบประสาทและสมองรวมถึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอัลไซเมอร์ด้วย
ประวัติ - พริกในประเทศไทย

ข้อดีของการปลูกพริก

  • ปลูกไว้ใช้ประโยชน์ในครัวเรือน—เพื่อรับประทานทั้งแบบสดและแบบแห้งได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย หรือหากได้ผลผลิตดี ยังสามารถจำหน่ายสร้างรายได้เสริมได้อีกด้วย
  • ปลูกเพื่อการค้า—พริกนั้น นอกจากปลูกได้ทั้งปี ยังให้ผลผลิตได้ทั้งปี และถ้าจะให้ดี เกษตรกรควรคำนวณช่วงเวลาการให้ผลผลิต และวางแผนการจำหน่ายให้ตรงกับช่วงเดือนที่มีราคาแพง คือ เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกรกฎาคม ของทุกปี พริกจะมีราคาแพงที่สุด อย่าพลาดติดตามข้อมูล “เทคนิคการปลูกพริกให้ได้ผลผลิตช่วงราคาแพง

วิธีการปลูก 

พริกเป็นพืชที่ปลูกได้ทั่วไป ทั้งพื้นที่ในเขตร้อนและอบอุ่นขึ้นได้ดีตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงกระทั่งความสูงกว่า 2000 เมตร ต้องการน้ำฝนประมาณปีละ 600-1250 มิลลิเมตร แต่ขณะเดียวกันก็สามารถทนแล้งได้ดีพอสมควร ในเขตชลประทาน ปลูกได้ตลอดปี แต่ควรปลูกในช่วงมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่พริกมีราคาดี สำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทานควรปลูก ในช่วงฤดูฝน พริกปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิดแต่จะขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทราย ไม่ชอบพื้นที่ที่มีน้ าท่วมขังหรือชื้นแฉะ เพราะจะ ทำให้รากเน่าและตายได้ง่าย

การเตรียมดิน 

การเตรียมดินจะมีวิธีเตรียมแตกต่างกันไปตามสภาพของดินและระดับน้ำ

  1.  การปลูกในสภาพอาศัยน้ำฝน ย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกที่เตรียมใช้ยกแปลงกว้างประมาณ 1.20 เมตร ปลูกเป็นแถวคู่ ระยะระหว่างแถวห่างกัน 80 ซม.หลุมละ 1 ต้น ระยะปลูก 80x80 ซม.ใส่ปุ๋ยคอกรองพื้น                                                                                                                     
  2.  การเตรียมแปลงในเขตชลประทาน ให้คูส่งน้ำอยู่ทางด้านหัวแปลง และคูระบายน้ำอยู่ทางท้ายแปลง แล้วปรับระดับคูส่ง น้ำระหว่างแปลงให้มีความลาดเทพอสมควร เพื่อความสะดวกในการให้น้ำ ส่วนขนาดของแปลงนั้น ให้มีความกว้างของ แปลง 0.80 เมตร ร่องน้ำ 0.25 เมตร ความยาวของแปลงประมาณ 20 เมตร                                                                                                                                                                      
  3.  ในสภาพดินเหนียวเขตภาคกลาง มีระดับน้ำใต้ดินสูง ให้ท าแปลงขนาดกว้างประมาณ 4 – 6 เมตร ความยาวไม่จ ากัด ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และมีร่องน้ำกว้างประมาณ 1 เมตร ลึกประมาณ 0.50 – 1 เมตร ซึ่งเหมาะสำหรับใช้เรือบรรทุก เครื่องสบน้ำเข้าไปให้น้ำได้
  • แปลงที่ใช้ปลูกควรไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วม และสามารถระบายน้ำได้ดีหากฝนตก ซึ่งให้เตรียมแปลง ดังนี้                                                                      หากเป็นแปลงใหม่ ควรไถตากดินพร้อมกำจัดวัชพืช นาน 1 สัปดาห์                                                                                                     
  •  ทำการหว่านปุ๋ยคอกในอัตรา 2-3 ตัน/ไร่ หากดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาว 100-200 กิโลกรัม/ไร่ พร้อมไถกลบยก ร่องแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 40-60 เซนติเมตร                                                                                                                                                                
  •  แปลงกว้างขนาด 30-50 สำหรับปลูกแถวเดี่ยว แปลงกว้าง 80-100 สำหรับปลูกแถวคู่ ขึ้นอยู่กับทรงพุ่มของแต่ ละพันธุ์                                      
  • ปรับระดับแปลง พร้อมก าจัดวัชพืช และตากดินพร้อม 2-3 วัน                                                                                                               
  • การเพาะปลูก ควรปลูกให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-40 เซนติเมตร โดยทั่วไปมีวิธีการปลูก  3 วิธี คือ การหยอดเมล็ด  การเพาะเมล็ด การเพาะต้นกล้า
พริก – สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม

อ้างอิง

เอกสารเพิ่มเติม https://www.ubu.ac.th/web/files_up/49f2019021409375756.pdf

เว็ปไซต์ ชนิดสายพันธุ์พริกในไทย https://thaifarmer.lib.ku.ac.th/news/60110f08f3a1d60fda45c08f , http://www.m-group.in.th/article/พริก.html

พริก – สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (adeq.or.th)

https://www.sarakadee.com/2009/02/21/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%94%E0%B8%B8/