Wild Landscape
หน้าแรก เรื่องราวของตำบลตลาด แผนที่การท่องเที่ยวตำบลตลาด งานประเพณีและศิลปวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์ชุมชน ทรัพยากรชีวภาพ: วัตถุดิบท้องถิ่น ตราผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ความประทับใจในตำบลตลาด ข้อมูลสร้างการเรียนรู้ของชุมชน ติดต่อเรา

ทรัพยากรชีวภาพ: วัตถุดิบท้องถิ่น

First slide

ขมิ้นชัน

ทรัพยากรชีวภาพ วัตถุดิบท้องถิ่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ขมิ้นชัน

ชื่อสมุนไพร ขมิ้นชัน
ชื่ออื่นๆ ขมิ้น , ขมิ้นแดง , ขมิ้นหยวก , ขมิ้นหัว ,ขมิ้นแกง (เชียงใหม่) , ขี้มิ้น (ภาคใต้) , ตายอด (กะเหรี่ยงกำแพงเพชร) ,สะยอ (แม่ฮ่องสอน) หมิ้น (ตรัง)
ชื่อสามัญ Turmeric
ชื่อวิทยาศาสตร์  Curcuma longa Linn.
วงศ์ ZINGIBERACEAE

 ‘ขมิ้นชัน’ มีสารสำคัญที่ชื่อว่า เคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) ที่มีองค์ประกอบของสาร 3 ชนิด ได้แก่ เคอร์คูมิน (Curcumin) เดเมทอกซีเคอร์คูมิน (Demethoxycurcumin) และบิสเดเมททอกซีเคอร์คูมิน (Bisdemethoxycurcumin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านจุลินทรีย์ ดังนั้นขมิ้นชันจึงถูกนำมาใช้ในการรักษาแผลในทางเดินอาหาร แก้ปวดและลดอาการอักเสบของข้อ โดยสามารถแทนการใช้ยาแก้ปวดที่ไม่มีส่วนประกอบของสเตียร์รอย (NSAIDs: Non-Steroid Anti-Inflammatory Agent) และป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน สำหรับความสามารถของเคอร์คูมินในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันนั้น หนึ่งในสารประกอบของเคอร์คูมินอยด์ ที่เรียกว่า ‘เคอร์คูมิน’สามารถลดการจับตัวของไวรัสกับผนังเซลในร่างกาย และลดการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัส ด้วยการทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้อีก
     เคอร์คูมิน (Curcumin) เป็นสารที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและเนื้อเยื่อได้น้อย เพราะสามารถถูกทำลายได้ง่ายในลำไส้เล็ก และถูกเผาผลาญและกำจัดออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันจึงมีการคิดค้นและพัฒนาเคอร์คูมินให้อยู่ในรูปของไฟโตโซม ซึ่งเป็นเทคนิคในการทำให้สารจากธรรมชาติที่ถูกดูดซึมได้ยาก กลายเป็นสารที่ถูกดูดซึมได้ง่ายด้วย ฟอสฟาติดิลโคลีน (phosphatidylcholine) ที่อยู่ในเลซิตินนั่นเอง จึงทำให้เคอร์คูมินสามารถละลายได้ดีทั้งในน้ำและไขมัน โดยเฉพาะเคอร์คูมินสูตรลิขสิทธ์ Meriva ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีกว่าสารสกัดขมิ้นชันแบบปกติ (Curcuminoids) ถึง 9 เท่า การทานขมิ้นชัน ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้สารสำคัญในรูปแบบไฟโตโซมนั้น นอกจากจะสะดวกในการับประทานแล้ว ยังสามารถดูดซึมได้ดีและเห็นผลที่ชัดเจนกว่าอีกด้วย ที่สำคัญยังเป็นสารอาหารที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน

ขมิ้นชัน (Turmeric) เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอม ตามหลักฐานทางสมุนไพร เราจะใช้เหง้าใต้ดินบดเป็นผง รักษาแผล แมลงกัดต่อย กลากเกลื้อน ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และ รักษาอาการท้องเสีย โดยสารสำคัญของขมิ้นชันที่เป็นสารออกฤทธิ์ คือ curcumin

        ขมิ้นชัน  เป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมอินเดียมาไม่น้อยกว่า 4,000 ปี โดยมันถูกใช้เป็นเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร ใช้เป็นยา และย้อมผ้าซึ่งให้สีเหลืองสวย นอกจากนี้ ขมิ้นชันยังถูกใช้ในการเจิมบนหน้าผากเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ในพิธีสำคัญของศาสนาพุธและฮินดู เช่น พิธีมงคลสมรส และการคลอดบุตรอีกด้วย นอกจากนี้ขมิ้นชันยังเป็นเครื่องเทศชนิดแรก และสำคัญที่สุดที่ค้าขายกันบนเส้นทางสายไหม โดยมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปถึง 50 ชื่อในภาษาสันสกฤต และยังถูกเรียกในชื่อต่างๆ ในภาษาที่ต่างกันไปทั่วโลกอีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว ขมิ้นชันจะเติบโตในภูมิประเทศแบบป่าฝน และถูกใช้เป็นยามานับแต่โบราณ ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานการวิจัยซึ่งให้การรองรับถึงประโยชน์ของขมิ้นต่อสุขภาพซึ่งน่าอัศจรรย์ ดังนี้สำหรับภายใน เนื่องจากรสชาติ และสีที่เป็นเอกลักษณ์ ขมิ้นชันจึงถูกใช้ประกอบอาหารมานานแล้ว นอกเหนือไปจากความอร่อยแล้ว ขมิ้นชันยังมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงอีกด้วย โดยการบริโภคขมิ้นชันนั้นจะช่วยในเรื่องของหัวใจหลอดเลือด และระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ ยังมีภูมิปัญญาของคนโบราณที่ว่า หากกินขมิ้นชันพร้อมกับพริกไทยเล็กน้อยจะช่วยทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ขมิ้นชันยังถูกใช้ในยาแผนปัจจุบันอีกด้วย จากรายงานวิจัย พบว่าตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา มีการใช้สารสกัดจากขมิ้นชันที่ชื่อว่า Curcumin (เคอร์คูมิน) ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งสารตัวนี้ เมื่อได้รับอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดและป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตัน บรรเทาอาการของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 (Hyperglycemia) และช่วยบรรเทาอาการสูญเสียความจำในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอีกด้วยอีกด้วย เนื่องจากขมิ้นชันนั้นมีสรรพคุณมากมาย ราคาไม่แพง และหาได้ง่าย ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีหากเราจะเพิ่มเครื่องเทศชนิดนี้ลงไปในมื้อเย็น เพราะแม้ว่ามันจะไม่ได้เห็นผลในทันที แต่การรับประทานทุกวันอย่างต่อเนื่องจะให้ผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังใช้ยาเจือจางเม็ดเลือด และผู้ที่กำลังจะต้องเข้ารับการผ่าตัดในเวลาอันใกล้นี้

สำหรับผิว

- ช่วยลดความมัน

ขมิ้นชันมีคุณสมบัติในการควบคุมน้ำมันตามธรรมชาติ ดังนั้นหากคุณกำลังประสบปัญหาผิวมัน และรูขุมขนอุดต้น ลองเพิ่มสารสกัดขมิ้นชันลงไปในสูตรมาร์กหน้าของคุณดู หรือถ้าหากคุณใช้ขมิ้นชันแบบผงล่ะก็ คุณจะต้องผสมมันเข้ากับอย่างอื่นก่อนที่จะใช้มันพอกหน้า เพราะไม่อย่างนั้นผิวของคุณจะติดสีเหลืองได้

- ชะลอการเกิดริ้วรอย

ขมิ้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Anti-oxidant)ที่เป็นที่รู้จักว่าช่วยลดความตึงเครียด ศัตรูตัวฉกาจของความงาม ดังนั้นการใช้ขมิ้นชันจะช่วยป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างน่าอัศจรรย์

- ลบเลือนจุดด่างดำ

ผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงอย่างเช่นในประเทศไทย อาจต้องกังวลกับปัญหาจุดด่างดำอันน่าหนักใจ แต่ก่อนที่คุณจะเสียเงินไปทำเลเซอร์ราคาแพง ทำไมไม่ลองใช้ขมิ้นชันดูก่อนล่ะ? หนุ่มสาวชาวอินเดียเองก็ใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดเช่นเดียวกัน แต่ทว่ากลับยังมีผิวที่สดใสไร้จุดด่างดำ และเคล็ดลับในการดูแลผิวที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานก็คือ “การใช้ขมิ้นชันนั่นเอง” 

- เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย

ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีความอ่อนโยนต่อผิว ดังนั้น จึงปลอดภัยกับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย การใช้ขมิ้นชันจะช่วยทำให้ผิวของคุณนุ่มนวล อ่อนเยาว์ ด้วยแร่ธาตุและสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสมกับผู้ที่มีผิวบอบบางที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษเช่นคุณ

ประโยชน์ที่ใช้ในทางแพทย์

     ขมิ้นชัน (Curcumin) ได้รับการกล่าวถึงประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคได้มากมายมาตั้งแต่อดีต เช่น โรคปวดข้อ ต้านการอักเสบในร่างกาย บรรเทาอาการท้องเสีย ยับยั้งการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือเอชไพโลไร (Helicobacter Pylori) ท้องอืด ท้องเฟ้อ การอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น
     จากฐานข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ได้แบ่งระดับความน่าเชื่อถือของการใช้การรักษาทางเลือกจากธรรมชาติจากขมิ้นอยู่ในระดับการรักษาที่อาจได้ผล แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุประสิทธิภาพ ซึ่งประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีการค้นคว้าและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์กล่าวถึง มีดังนี้

1.  อาการจุกเสียดท้อง และผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ
     สารเคอร์คูมิน (Curcumin) มักถูกกล่าวถึงคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร และเป็นประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน จึงมีงานวิจัยบางส่วนที่ค้นคว้าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารเคอร์คูมินเปรียบเทียบกับยาตัวอื่นที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะในผู้ที่ติดเชื้อเอชไพโลไรและมีอาการจุกเสียดท้อง จำนวน 25 คน โดยให้รับประทานสารเคอร์คูมิน 30 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร ตรวจดูความรุนแรงของอาการต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ตรวจเลือด และตรวจหาสารภูมิต้านทานจากเชื้อเอชไพโลไร ผลพบว่าสารเคอร์คูมินช่วยลดอาการจุกเสียดท้องและลดการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารลงอย่างเห็นได้ชัด 
2.  โรคข้อเสื่อม 
     อีกคุณสมบัติทางยาของขมิ้นอาจช่วยบรรเทาอาการจากโรคข้อเข่าเสื่อม เนื่องจากมีสารเคอร์คูมินที่มีฤทธิ์ต่อต้านกระบวนการอักเสบ โดยมีการศึกษาถึงประสิทธิภาพของสารเคอร์คูมินเปรียบเทียบกับยาไดโคลฟีแนคต่อการหลั่งเอนไซม์ Cyclooxygenase-2 (COX-2) ในน้ำไขข้อของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม 80 คน กลุ่มแรกรับประทานสารเคอร์คูมิน วันละ 30 มิลลิกรัม และอีกกลุ่มรับประทานยาไดโคลฟีแนค วันละ 25 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทาน 3 เวลาเช่นเดียวกันทั้ง 2 กลุ่ม เมื่อครบ 4 สัปดาห์ จึงเจาะน้ำในข้อเข่าออกมาตรวจ เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการรับประทาน ผลพบว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่างสารเคอร์คูมินและยาไดโคลฟีแนคในการยับยั้งการหลั่ง COX-2 ซึ่งเป็นเอมไซม์ที่หลั่งเมื่อเกิดการอักเสบ ปวด และบวม จึงเชื่อว่าสารเคอร์คูมินมีส่วนช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมได้ดีเช่นเดียวกับยา  
     มีการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อการใช้สารสกัดจากขมิ้นเปรียบเทียบกับยาไอบูโปรเฟนในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม จำนวน 367 คน เพื่อดูอาการปวดและสมรรถภาพการใช้งานข้อเข่า ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มแรกรับประทานสารสกัดจากขมิ้น 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มรับประทานยาไอบูโปรเฟน 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ผลพบว่า สารสกัดจากขมิ้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาไอบูโปรเฟนในการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม และพบผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหารเล็กน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยา
3.  โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 
     ขมิ้นมีคุณสมบัติที่เชื่อว่าช่วยต่อต้านการอักเสบ จึงมีการศึกษานำร่องทางคลินิกเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้สารเคอร์คูมินเปรียบเทียบกับยาไดโคลฟีแนคในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เรื้อรัง 45 คน ในการทดลองแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานสารเคอร์คูมิน 500 มิลลิกรัมต่อวัน กลุ่มที่ 2 รับประทานยาไดโคลฟีแนค 50 มิลลิกรัม และกลุ่มที่ 3 รับประทานสารเคอร์คูมินร่วมกับยาไดโคลฟีแนค จากนั้นจึงวัดผลด้วยแบบประเมิน 2 ชุด พบว่าผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่มมีอาการของโรคดีขึ้น แต่กลุ่มที่รับประทานสารเคอร์คูมินมีผลคะแนนสูงสุด อีกทั้งยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงจากการรับประทาน ขมิ้นจึงอาจมีความปลอดภัยและเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และข้ออักเสบชนิดอื่น ซึ่งยังต้องค้นคว้าเพิ่มเติมในกลุ่มทดลองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
4.  อาการคัน หรือการอักเสบผิวหนัง
     ขมิ้นมีสารเคอร์คูมินที่เชื่อว่ามีส่วนสำคัญในการยับยั้งกระบวนการอักเสบภายในร่างกาย จึงอาจช่วยลดอาการคันในผู้ป่วยบางโรคได้ โดยมีงานวิจัยถึงประสิทธิภาพของขมิ้นต่ออาการคันเปรียบเทียบกับยาหลอกในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 100 คน ผลปรากฏว่า กลุ่มที่รับประทานขมิ้นมีอาการคันลดลงกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ และยังไม่พบผลข้างเคียงทั้ง 2 กลุ่ม จึงคาดว่าขมิ้นมีส่วนช่วยลดอาการคันในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง แต่ยังไม่สามารถยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขมิ้นต่อร่างกายในระยะยาวได้แน่ชัด
     นอกจากนี้ การศึกษาอีกชิ้นเรื่องคุณสมบัติของสารเคอร์คูมินด้านการต้านอักเสบในผู้ป่วยผื่นผิวหนังจากสารซัลเฟอร์ มัสตาร์ด เพศชาย 69 คน อายุ 37-59 ปี โดยทดลองทาสารสกัดจากเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับยาหลอก ติดต่อกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ เพื่อดูความรุนแรงของอาการคันเรื้อรังและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ผลพบว่า ฤทธิ์ต้านการอักเสบของเคอร์คูมินในขมิ้นช่วยยับยั้งสารในกระบวนการอักเสบบางชนิดได้มากกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก 

     จะเห็นได้ว่าขมิ้นชัน (Curcumin) เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ให้ประโยชน์กับร่างกายได้อย่างมากมาย รวมไปถึงสามารถป้องกันเชื้อไวรัส ซึ่งทุกคนสามารถมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เพียงเลือกทานสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มอย่างขมิ้นชันในรูปแบบไฟโตโซม สูตรลิขสิทธิ์ Meriva ได้ทุกวัน ด้วยความห่วงใยจาก MEGA We care 

ประโยชน์และสรรพคุณ

  1. ช่วยเจริญอาหาร
  2. ยาบำรุงธาตุ ฟอกเลือด
  3. แก้ท้องอืดเฟ้อ แน่น จุกเสียด
  4. ช่วยลดน้ำหนัก
  5. ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  6. อาการดีซ่าน
  7. แก้อาการวิงเวียน
  8. แก้หวัด
  9. แก้อาการชัก ลดไข้
  10. ขับปัสสาวะ
  11. รักษาอาการท้องมาน
  12. แก้ไข้ผอมแห้ง
  13. แก้เสมหะและโลหิตเป็นพิษ โลหิตออกทางทวารหนักและเบา
  14. แก้ตกเลือด
  15. แก้อาการตาบวม
  16. แก้ปวดฟันเหงือกบวม
  17. มีฤทธิ์ระงับเชื้อ ต้านวัณโรค
  18. ป้องกันโรคหนองใน
  19. แก้ท้องเสีย แก้บิด
  20. รักษามะเร็งลาม
  21. ช่วยลดอาการฟกช้ำบวม ปวดไหล่และแขน บวมช้ำและปวดบวม
  22. แก้ปวดข้อ
  23. ใช้สมานแผลสดและแผลถลอก ผสมยานวดคลายเส้นแก้เคล็ดขัดยอก
  24. แก้น้ำกัดเท้า แก้ชันนะตุ
  25. แก้กลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนังผื่นคัน
  26. ใช้สมานแผล รักษาฝี แผลพุพอง
  27. ลดอาการแพ้ อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  28. ใช้ห้ามเลือด
  29. รักษาผิว บำรุงผิว 
  30. ช่วยลดหน้าท้องลายหลังคลอดบุตร
  31. ช่วยลดกลิ่นปาก

รูปแบบและขนาดวิธีการใช้ขมิ้นชัน

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด อาหารไม่ย่อย อาการแสบคัน แก้หิว และแก้กระหาย ทำโดยล้างขมิ้นชันให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย กินครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3 -4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน แต่บางคนเมื่อกินยานี้แล้วแน่นจุกเสียดให้หยุดกินยานี้
ใช้ภายใน(ยารับประทาน):
• ยาแคปซูลที่มีผงเหง้าขมิ้นชันแห้ง 250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน อาจปั้นเป็นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง
• เหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว ขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง
ใช้ภายนอก:
• ใช้เหง้าขมิ้นแก่สดฝนกับน้ำสุก หรือผงขมิ้นชันทาบริเวณที่เป็นฝี แผลพุพอง หรืออักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย
• เหง้าแก่แห้ง บดเป็นผงละเอียด ทาบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน
• เหง้าแห้งบดเป็นผง นำมาเคี่ยวกับน้ำมันพืช ทำน้ำมันใส่แผลสด
• เหง้าแก่ 1 หัวแม่มือ ล้างสะอาดบดละเอียด เติมสารส้มเล็กน้อย และน้ำมันมะพร้าวพอแฉะๆใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลพุพอง ที่หนังศีรษะ
ขนาดที่ใช้ในการรักษาอาการ dyspepsia
รับประทานผงขมิ้นชันในขนาด 1.5 - 4 กรัมต่อวัน โดยแบ่งให้วันละ 3 - 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน หรือรับประทานขมิ้นชันในรูปแบบแคปซูลที่มีผงเหง้าขมิ้นชันอบแห้ง 250 มก. รับประทานครั้งละ 2 – 4แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอนการขยายพันธุ์ขมิ้นชัน

     ขมิ้นชัน   ชอบแสงแดดจัดและมีความชื้นสูง ชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง วิธีปลูกใช้เหง้าหรือหัวอายุ10-12เดือนทำพันธุ์ ถ้าเป็นเหง้าควรยาวประมาณ8-12ซม.หรือมีตา6-7ตา ปลูกลงแปลง กลบดินหนาประมาณ5-10ซม. ขมิ้นจะใช้เวลาในการงอกประมาณ30-70วันหลังปลูก ควรรดน้ำทุกวัน หลังจากนั้นเมื่อขมิ้นมีอายุได้ 9-10 เดือนจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้
• ฤดูกาลปลูก : ควรเริ่มปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณปลายเดือนเมษายน ถึงต้นเดือนพฤษภาคม
• ฤดูการเก็บเกี่ยว : จะเก็บเกี่ยวหัวขมิ้น ในช่วงฤดูหนาวหรือประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งช่วงนี้หัวขมิ้นชันจะแห้งสนิท

องค์ประกอบการทางเคมีของขมิ้นชัน 

สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คูมิน (curcumin), monodesmethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin
น้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) มีสีเหลืองอ่อน สารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone) 60%, ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25%, borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene

องค์ประกอบทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอาการ dyspepsia
       การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพบว่า เหง้าขมิ้นชัน ประกอบด้วยสารสําคัญ 2 กลุ่มคือcurcuminoids ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ให้สีเหลืองส้ม มีประมาณ 1.8 – 5.4% ประกอบด้วย curcumin และสารอนุพันธ์ของ curcumin ได้แก่ demethoxy curcumin และ bisdesmethoxycurcumin และสารสําคัญอีกกลุ่มหนึ่งคือน้ำมันหอมระเหย (volatile oils) สีเหลืองอ่อน ที่มีอยู่ประมาณ 2 – 6% ประกอบด้วยสารประกอบmonoterpenes และ sesquiterpenes เช่น turmerone, zingeberene, curcumene และ borneol เป็นต้น 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ:
1.  http://scijournal.hcu.ac.th/data/Vol.2%20Usefulness.pdf

2. https://www.disthai.com/16488284/ข้อมูล

3. www.pinterest.com/ภาพขมิ้นชัน